tag:blogger.com,1999:blog-66098607969338901272023-11-15T07:25:28.061-08:00Nittayaนางสาวนิตยา กาเมือง 537010140207 หมู่ 2NITTAYAhttp://www.blogger.com/profile/01834322377951326226noreply@blogger.comBlogger4125tag:blogger.com,1999:blog-6609860796933890127.post-47753461422223449152010-08-21T05:26:00.000-07:002010-08-21T05:28:18.519-07:00E-sevicesภายใต้นโยบายของรัฐบาล ที่เห็นความสำคัญในการนำเทคโนโลยีสารสนเทศ<br /> และการสื่อสารมาประยุกต์ใช้จัดการ ระบบบริหารงานและระบบบริการ<br />ตลอดจนนำมาเป็นเครื่องมือช่วยพัฒนาประเทศ ดังจะเห็นได้จากวัตถุประสงค์<br />ในแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสารของประเทศไทย พ.ศ.2545-2549 ว่าด้วย<br />- การประยุกต์ใช้ ICT (Information and Communication Technology)<br /> <br />เพื่อเพิ่มขีดสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจ<br /> <br />- การประยุกต์ใช้ ICT เพื่อพัฒนาสังคมแห่งภูมิปัญญาและ<br /> <br />การเรียนรู้ที่สนองคุณภาพชีวิตได้โดยตรง<br /> <br />- การประยุกต์ใช้ ICT เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนโดยการกระจาย ICT<br /> <br />ที่มีคุณภาพครอบคลุมและเข้าถึงได้อย่างทั่วถึง และยุติธรรมยืนได้ด้วยตัวเอง<br /> <br />และความรู้ของคนในชาติ<br /> <br />- เพื่อพัฒนาธุรกิจและอุตสาหกรรมด้าน ICT อย่างเต็มศักยภาพ<br /> <br />สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.)<br />ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.)<br />จึงเห็นความสำคัญในการนำเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารนำมาประยุกต์ใช้<br /> จัดการระบบบริหารงาน ระบบบริการ และเป็นเครื่องมือในการสนับสนุน<br />การสร้างสังคมคุณภาพและเป็นสังคมแห่งภูมิปัญญา และการเรียนรู้<br />ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งทำให้เราได้มารู้จักกับคำว่า E-Service <br />E-Services<br /> <br />คือการให้บริการข้อมูลและการทำธุรกรรมผ่านเครือข่ายออนไลน์ เช่น<br />การให้บริการงานการพิมพ์ การให้บริการจดหมายข่าวแก่สมาชิก<br /> และการให้บริการชำระค่าบริการผ่านระบบเครือข่าย เป็นต้น<br />สำหรับยุทธศาสตร์ทางด้านการพัฒนา e-Service ของชาตินั้นได้ให้ความ<br />สำคัญใน 9 กลุ่มการให้บริการ คือ<br />-Online, registration of company and business<br />หรือการให้บริการจดทะเบียนธุรกิจนิติบุคคล ผ่านทางระบบเครือข่ายออนไลน์<br />-Counseling หรือการให้บริการคำแนะนำและที่ปรึกษา<br />-Emergency notification หรือการแจ้งเตือนในกรณีภาวะฉุกเฉิน<br />-Change management หรือการให้บริการด้านการบริหารจัดการเปลี่ยนแปลง<br />-Land info and land zoning หรือการให้บริการข้อมูลทางด้าน พื้นดินและการแบ่งเขตพื้นที่<br />-E-Justice หรือการให้บริการเกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรม ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์<br />-Electronic social welfare benefits management & citizen rights info<br />หรือการให้บริการข้อมูลประชาชน ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ในด้านสิทธิ<br />และการบริหารจัดการเกี่ยวกับด้านงานสวัสดิการและงานประกันสังคม<br />-Electronic birth, employee, marriage, divorce, death registration<br />หรือการทำธุรกรรมเกี่ยวกับทะเบียนราษฎร์ เช่น การแจ้งเกิด การจ้างงาน <br /> การแต่งงาน การหย่า และการเสียชีวิต<br />-Government and utilities billing and payment คือการให้บริการ<br />ใบเสร็จและการจ่ายเงินของ ภาครัฐและการบริการสาธารณะ<br /> <br /> จะเห็นได้ว่า “อี” นั้นมาจาก e ซึ่งย่อมาจาก electronic ดังนั้นเดี๋ยวนี้หากนำเอา<br />เทคโนโลยีสารสนเทศมาประยุกต์ใช้กับสื่อใดมีการ จัดทำในรูปแบบสื่ออิเล็กทรอนิกส์<br /> และมีการให้บริการผ่านระบบเครือข่าย หรือให้บริการบนเครื่องคอมพิวเตอร์โดย<br />ที่ไม่เชื่อมต่อกับระบบเครือข่าย ก็จะ ถือว่าสิ่งนั้นเป็นอิเล็กทรอนิกส์และ<br />จะมีการเพิ่ม “อี” ไว้หน้าชื่อนั่นเองNITTAYAhttp://www.blogger.com/profile/01834322377951326226noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6609860796933890127.post-84096000023238373672010-08-21T04:26:00.000-07:002010-08-22T22:37:39.073-07:00ตัวอย่างนวัตกรรมBest Practice โรงเรียนปทุมรัตต์พิทยาคม<br />กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์<br />การใช้ ICT ในการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิด Backward Design<br /><br /><br /><br />แผนผัง แสดงการจัดการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์<br /><br /><br />วัตถุประสงค์ในการพัฒนานวัตกรรม<br />จากการศึกษาสภาพปัจจุบันปัญหาในการจัดการเรียนการสอนวิชาคณิตศาสตร์<br />ของโรงเรียนปทุมรัตต์พิทยาคม คณะครูกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์จึงได้<br />จัดทำโครงการเพื่อรองรับการกระจายอำนาจ พัฒนาการเปลี่ยนแปลง<br />การเรียนการสอนคณิตศาสตร์โดยใช้ ICT ในการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิด<br />Backward Design<br />การดำเนินงานใช้หลักการบริหารวงจรแห่งความสำเร็จ (PDCA)<br />1. การประชุมวางแผนการปฏิบัติงาน<br />2. จัดตั้งคณะทำงาน<br />2.1 คณะกรรมการประสานงาน<br />2.2 คณะกรรมการดำเนินงาน ด้าน Backward Design<br />2.3 คณะกรรมการดำเนินงาน ด้าน โปรแกรมการเรียนการสอนคณิตศาสตร์<br />2.4 คณะกรรมการประเมินผลการดำเนินงาน<br />3. ประชุมชี้แจงทำความเข้าใจกับบุคลากรในกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์<br />4. ดำเนินงานตามแผนและปฏิบัติที่กำหนด<br />5. นิเทศ กำกับ ติดตาม การดำเนินงาน<br />6. สรุปและรายงานผลการดำเนินงาน<br />กระบวนการพัฒนา<br />โครงการพัฒนาการเรียนการสอนคณิตศาสตร์โดยใช้ ICT ในการจัดการเรียนรู้<br />ตามแนวคิด Backward Design<br />1. การฝึกอบรมการเขียนแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้ กระบวนการ Backward Design<br /><br />2. การฝึกอบรม การใช้ e-Learning , GSP และการสร้าง Website<br />3. การจัดการเรียนรู้ของครูกลุ่มสาระคณิตศาสตร์ ตามแผนการจัดการเรียนรู้<br />4. ประเมินและติดตามการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ (ครู นักเรียน)<br /><br />ลักษณะของนวัตกรรม<br />ลักษณะของนวัตกรรม กระบวนการ Backward Design<br /> การพัฒนาการจัดการเรียนการสอนของครูขึ้นอยู่กับการเรียนรู้ของครูและ<br /> <br />การพัฒนาตนเองให้มีความสามารถและมีคุณลักษณะของครูมืออาชีพ<br /> <br />การเรียนรู้และการทำงานของครูต้องไม่แยกจากกัน ครูควรมีโอกาสเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง<br /> <br />การเรียนรู้ของครูเกิดจากการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์กับเพื่อนครู<br /> <br />ผู้เชี่ยวชาญ ศึกษานิเทศก์ แล้วนำความรู้เหล่านนั้นไปประยุกต์ใช้<br /> <br />ในการจัดการเรียนการสอนของตน การไตร่ตรอง ทบทวน พัฒนา ปรับปรุง<br /> <br />เกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนของครู ทำให้เกิดความเข้าใจผลของการลงมือปฏิบัติ<br /> <br /> แล้วนำผลการปฏิบัตินั้นแลกเปลี่ยนเรียนรู้และ เผยแพร่ต่อผู้อื่น <br /> การนำแนวทางการพัฒนาของครูจะช่วยให้การขับเคลื่อนการปฏิรูปการเรียนรู้ในโรงเรียน<br /> <br /> เกิดผลโดยตรงต่อการจัดการเรียนการสอนและการพัฒนานักเรียน ให้มีคุณลักษณะ<br /> <br />เป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ สามารถคิดวิเคราะห์ คิดสังเคราะห์ มีวิจารณญาณ<br /> <br /> มีความคิดสร้างสรรค์ คิดไตร่ตรองและมีวิสัยทัศน์ มีความรู้และทักษะที่จำเป็นตามหลักสูตร <br /> ที่มาของ Backward Design <br /> ปัญหาจากการสอบแบบ multiple Choices : teach test and hope for the best!<br /> <br />สอนเพื่อให้ผู้เรียนจำ ไม่ใช้เข้าใจ l การวัดประเมินผล มุ่งวัดประเมินว่า<br /> ผู้เรียนจำอะไรได้บ้างจากสิ่งที่ครูบอก เล่า ให้ฟัง หรือ อ่านมา ไม่สอดคล้องกับชีวิตจริง<br />การสอนของครูสอนแบบอ้างถึงความรู้ teaching by mention ผู้เรียนไม่ได้ลงมือปฏิบัติ<br /> <br />หลักการของ Backward Design <br /> กระบวนการออกแบบถอยหลังกลับ (Backward Design)<br /> <br />ของ <a href="http://www.ltag.education.tas.gov.au/Planning/models/princbackdesign.htm">Wiggins และ McTighe </a> เริ่มจากคิดทุกอย่างให้จบสิ้นสุดจากนั้น<br />จึงเริ่มต้นจากปลายทางที่ผลผลิตที่ต้องการ (เป้าหมายหรือมาตรฐานการเรียนรู้)<br />สิ่งนี้ได้มาจากหลักสูตร เป็นหลักฐานพยานแห่งการเรียนรู้ ( Performances)<br /> <br /> ซึ่งเรียกว่า มาตรฐานการเรียนรู้ แล้วจึงวางแผนการเรียนการสอน<br />ในสิ่งที่จำเป็นให้กับนักเรียนเพื่อเป็นเครื่องมือที่นำไปสู่<br />การสร้างผลงานหลักฐานแห่งการเรียนรู้นั้นได้ <br /> 1. หลักการของ Backward Design<br />กระบวนการออกแบบแบบถอยหลังกลับ (Backward Design) <br /> <br />ของ Wiggins และMcTighc เริ่มจากคิดทุกอย่างให้จบสิ้นสุดจากนั้น<br />จึงเริ่มต้นจากปลายทางที่ผลผลิตที่ต้องการ (เป้าหมายหรือมาตรฐานการเรียนรู้)<br />สิ่งนี้ได้มาจากหลักสูตร เป็นหลักฐานพยานแห่งการเรียนรู้ (Performances) <br />ซึ่งเรียกว่า มาตรฐานการเรียนรู้ แล้วจึงวางแผนการเรียนการสอน<br />ในสิ่งที่จำเป็นให้กับนักเรียนเพื่อเป็นเครื่องมือที่นำไปสู่<br />การสร้างผลงานหลักฐานแห่งการเรียนรู้นั้นได้ <br /> กระบวนการออกแบบการวางแผนของครูผู้สอนเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กัน<br /> <br />อย่างต่อเนื่องกัน 3 ขั้นตอน แต่ละขั้นตอนประกอบด้วยคำถามที่ว่า <br /> ขั้นตอน 1 : อะไรคือความเข้าใจที่ต้องการและมีคุณค่า <br /> ขั้นตอน 2 : อะไรคือพยานหลักฐานของความเข้าใจ <br /> ขั้นตอน 3 : ประสบการณ์การเรียนรู้และการสอนอะไรที่จะสนับสนุน<br />ทำให้เกิดความเข้าใจ ความสนใจ และความยอดเยี่ยมในหลักฐานนั้นๆ … <br /> ขั้นตอนที่ 1 : อะไรคือความเข้าใจที่ต้องการและมีคุณค่า <br /> การใช้หลักการออกแบบแบบถอยหลังกลับ อันดับแรกครูผู้สอนควรทำคือ<br />การให้ความสำคัญที่เป้าหมายการเรียนรู้ (Learning goals) <br />หรือเป้าหมายของความเข้าใจ ความเข้าใจที่ว่านี้คือ ความเข้าใจที่ฝังใจอย่างยั่งยืน<br /> (Enduring Understanding) ที่ครูผู้สอนทุกคนต้องการให้นักเรียนของพวกเขา<br />ได้รับการพัฒนาไปให้ถึงจุดหมายปลายทางตามลำดับขั้นการเรียนรู้บรรลุผล<br />ที่สำเร็จสมบูรณ์ที่สุด สิ่งนี้ก็เป็นจุดเน้นสำคัญที่จะขาดเสียมิได้รวมทั้งแนวทางดำเนินการ <br />ชุดคำถามที่สำคัญด้วยเช่นกัน ความเข้าใจที่ฝังใจอย่างยั่งยืนมีระดับที่<br />เหนือกว่าสูงกว่าข้อเท็จจริงต่าง ๆ และทักษะต่างๆ ที่มุ่งไปสู่ความคิดรวบยอดใหญ่ ๆ<br />หลักการต่าง ๆ หรือกระบวนการต่าง ๆ <br /> ความเข้าใจที่ได้คัดเลือกไว้บางทีอาจเป็นความเข้าใจที่สำคัญมากๆ <br />หรือความเข้าใจในระดับหน่วยการเรียนรู้ ลำดับขั้นตอนความเข้าใจ <br />(สิ่งเหล่านี้ พวกเราหวังว่าจะเป็นตัวช่วยให้บรรลุผลความเข้าใจในแต่ละระดับ <br />ตลอดระยะเวลาในลำดับขั้นตอนของการเรียนรู้) ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น <br /> ขั้นตอนที่ 2 : อะไรคือหลักฐานพยานของความเข้าใจ <br /> ครูผู้สอนต้องตัดสินใจต่อไปว่า ความเข้าใจเหล่านี้ นักเรียนจะนำเสนอ<br /> <br />หรือสาธิต แสดงออกให้เห็นได้อย่างไรว่านักเรียนได้เกิดความรู้ความเข้าใจอย่างแท้จริง <br />Wiggins and Mctighe ได้ให้รายละเอียดของความเข้าใจ 6 ประการ <br />(Six facets of understanding) โดยเชื่อว่านักเรียนจะมีความเข้าใจอย่างแท้จริง <br />เมื่อนักเรียนสามารถ <br /> อธิบายชี้แจงเหตุผล (can explain) <br /> แปลความตีความ (can interpret) <br /> ประยุกต์ (can apply) <br /> มีเทคนิคการเขียนภาพที่เห็นด้วยตาจริง (have perspective)<br /> <br /> สามารถหยั่งรู้มีความรู้สึกร่วม (can empathize) <br /> มีองค์ความรู้เป็นของตนเอง (have self – knowledge)<br /> <br /> ทั้ง 6 ด้านของความเข้าใจสามารถช่วยสนับสนุน ให้เกิดความเข้าใจ<br /> <br />ตามธรรมชาติของความเข้าใจและมีหนทางหลากหลาย ซึ่งจะกล่าวถึงต่อไป<br /> <br />เกี่ยวกับความเข้าใจ เพื่อความสมเหตุสมผลกับรูปแบบการเรียนรู้(Learning styles)<br /> <br />นักเรียนจะนิยมชมชอบบางข้อเท็จจริง<br /> ในส่วนของกระบวนการวางแผนนี้ อะไรที่ทำให้ “backward design”<br /> <br /> แตกต่างจากกระบวนการวางแผนที่เคยปฏิบัติเป็นประเพณีมาตั้งแต่ดั้งเดิม<br /> ก่อนการวางแผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้เพื่อพัฒนาความเข้าใจต่างๆ<br /> <br />คณะครูผู้สอนมีความจำเป็นต้องวางแผนเพื่อกำหนดแนวทางการประเมินผลขึ้นก่อน<br /> ในขณะ เดียวกันก็เน้นถึงความสำคัญให้เกิดความชัดเจน<br />ในการพัฒนาผลงาน/ภาระงานความสามารถ (Performance tasks)<br /> <br /> ด้วย Wiggins and Mctighe สนับสนุนความพอเหมาะที่ได้สัดส่วน<br />ของการประเมินผล ซึ่งเป็นการใช้การประเมินผลที่มากกว่าแบบดั้งเดิม<br /> อันประกอบด้วย การสังเกต การสอบย่อย การใช้แบบสอบประเภทต่าง ๆ <br /> การกำหนดแนวทางเพื่อใช้คัดเลือกขอบเขตของ การประเมินผล<br /> <br />ผลงาน/ภาระงานต่างๆ และการแสดงความสามารถต่างๆ ต้อง<br /> <br /> สนับสนุน ช่วยเหลือให้นักเรียนได้มีการพัฒนาความเข้าใจ (Developing understand)<br /> <br /> ให้โอกาสกับนักเรียนได้นำเสนอ อธิบายถึงความสามารถในความเข้าใจ<br /> <br /> ผลงาน/ภาระงาน (tasks) ต้องมีการจำแนกแยกแยะ<br />และระดับของความแตกต่างหรือชั้นของความเข้าใจอีกด้วย <br /> ขอเน้นถึงความสำคัญ การประเมินผลเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้<br />และควรจะมีอยู่ (มีการประเมินผลอยู่ตลอด) ตั้งแต่ต้นจนจบของลำดับขั้นตอน<br /> <br />มิใช่นำมาใช้เมื่อจบหน่วยหรือจบรายวิชาเท่านั้น <br /> ขั้นตอนที่ 3 : อะไรคือประสบการณ์การเรียนรู้และจะสอนอย่างไร <br /> ในขั้นตอนที่ 3 ของกระบวนการ backward design <br />ครูผู้สอนออกแบบในลำดับขั้นตอนคิดกิจกรรมประสบการณ์การเรียนรู้ <br />เพื่อให้นักเรียนรับผิดชอบดำเนินการในกิจกรรมต่างๆ <br />เพื่อเป็นการพัฒนาความเข้าใจ (develop understanding) <br /> การเรียนรู้ที่เกิดขึ้นกับผู้เรียนจะมีระดับที่เหนือกว่ามากกว่าการจำได้<br />ในเนื้อหาวิชาที่เรียน นักเรียนต้องได้รับการจัดกิจกรรมตามแผนการเรียนรู้<br /> <br />ที่เป็นไปได้สำหรับนักเรียนผู้ที่สืบค้น (Inquiries) ประสบการณ์โดยตรง <br />กระบวนการให้เหตุผล (Arguments) การประยุกต์นำไปใช้ <br />และจุดของภาพที่ซ้อนเร้นอยู่ข้างล่างของข้อเท็จจริง และข้อคิดเห็นต่างๆ<br /> ที่พวกเขาเรียนรู้ ถ้าพวกเขามีความเข้าใจในสิ่งนั้น ๆ <br /> ประสบการณ์แห่งการเรียนรู้ ต้องการให้ผู้เรียน :<br /> <br /> สร้างทฤษฎี อธิบายชี้แจง แปลความ ตีความ,<br /> <br />ใช้หรือมองเห็นด้วยจินตทัศน์ (perspective) ในสิ่งที่พวกเขาต้องการเรียนรู้ <br />ซึ่งพวกเขาก็ไม่จำเป็นว่าจะต้อง มีความเข้าใจที่เหมือนๆ กัน หรือมีความสามารถ<br />ในความเข้าใจในสิ่งเหล่านี้ซึ่งเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามากกว่าที่จะจดจำ <br /> ประสบการณ์ต่างๆ เหล่านี้ ต้องผสมกลมกลืนทั้งในแนวกว้างและแนวลึก <br /> และจะต้องเป็นทางเลือกที่ต้องการและได้รับการยอมรับ ประสบการณ์เหล่านี้ที่<br />จะถูกนำไปดำเนินการในเชิงลึกซึ่งต้องการให้นักเรียนเจาะลึก (unearth)<br /> <br /> วิเคราะห์แยกแยะ ตั้งคำถาม พิสูจน์และวางหลักเกณฑ์ทั่ว ๆ ไป<br />การที่ให้ประสบการณ์มีลักษณะกว้างเพื่อต้องการให้นักเรียนทำการเชื่อมโยง <br />มองเห็นภาพ (ตัวแทนหรือรูปจำลอง) และขยายความคิดให้กว้างแผ่ออกไป <br /> สิ่งที่สำคัญก็คือความชัดเจนในวิธีการที่อิงแนวทางแสวงหาความรู้<br />(Inquiry – Based Approach) ที่ต้องการ “ไม่จำกัดขอบเขต (uncovering)” ในการเลือกเนื้อหา <br /> 2. การทบทวนและขัดเกลา (Review and Refine)<br /> <br /> ดูเหมือนว่าในแบบจำลองของการวางแผนทั้งหมดของ “Backward Design”<br /> <br />ต้องการกระบวนการปรับปรุงแก้ไขและสิ่งที่ได้รับการปรับปรุงแก้ไขขัดเกลาแล้ว<br />ในทุกขั้นตอนในกระบวนการของการวางแผน <br /> “ การคิดสร้างสรรค์ของการใช้หน่วยการเรียนรู้ของกระบวนการวางแผนด้วย<br /> Backward Design มิใช่สิ่งอัศจรรย์ยิ่งใหญ่ สบายหรือกระบวนการง่าย ๆ<br />มันคือสิ่งหนึ่งที่หยิบยกขึ้นมาพิจารณากันใหม่ คุณจะต้องกลับไปและ<br />ผ่าให้ทะลุเข้าในแผนผังหลักสูตร ทำการปรับปรุงกระบวนการและขัดเกลาตลอดเวลา<br /> เมื่อคุณผนวกบางสิ่งบางอย่างลงไปในส่วนของการวางแผนของคุณ” <br /> Backward Design และการเรียนรู้ในสิ่งที่สำคัญๆ กรอบแนวความคิดนี้<br />มีประโยชน์ต่อการใช้สอย เมื่อแบบจำลอง backward design ถูกนำไปใช้<br />เป็นกรอบแนวความคิดเชื่อมโยงกันทั้ง 3 ขั้นตอนของแบบจำลอง (model) <br />เกี่ยวข้องกับกรอบแนวความคิดการเรียนรู้ที่สำคัญและเอกสารด้านอื่น ๆ ที่มีประโยชน์ <br /> 3. เป้าหมายของหน่วย (Module) <br /> นำเสนอความเข้าใจเชิงลึกในมาตรฐานการเรียนรู้และวิธีการศึกษา<br /> <br /> ที่อิงมาตรฐาน ความคิดตลอดแนวของการวางแผนหลักสูตร <br />การพัฒนาการประเมินผลย่อยและประเมินผลรวบยอด<br /> <br /> (formative and summative assessments) และการออกแบบ<br />การเรียนการสอนที่เข้าคู่กับมาตรฐาน การปฏิบัติการที่ดีที่สุดอิงการวิจัย<br /> (research – based practices) สิ่งนี้จะได้รับการวัดผลจาก<br />การแสดงความสามารถของนักเรียนในการเฝ้าสังเกตความสามารถของนักเรียน<br /> การเฝ้าสังเกตความก้าวหน้าและการใช้แบบสอบมาตรฐานอิงเกณฑ์<br /> (Standardized criterion – referenced tests) <br /> คำสำคัญจากเป้าหมาย <br /> ความเข้าใจเชิงลึก <br /> มาตรฐานการเรียนรู้ <br /> การศึกษาอิงมาตรฐาน <br /> การปฏิบัติการที่ดีที่สุดอิงการวิจัย <br /> หมายเหตุ ที่ว่าเป้าหมายนี้จะไม่บรรลุผลภายในหนึ่งวัน<br /> <br />ควรจะนำไปที่การเตรียมการและภายใน 8 วัน แห่งการจัดการเรียนการสอน<br /> <br />ในชั้นเรียน เป้าหมายนี้ ก็จะบรรลุผล หลายวันแห่งการฝึก (training)<br />จะจัดสรรองค์ประกอบที่แตกต่างกันของเป้าหมาย,อย่างเช่น การวางแผนหลักสูตร<br /> การประเมินผลและการเรียนการสอนNITTAYAhttp://www.blogger.com/profile/01834322377951326226noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6609860796933890127.post-92119449379617819672010-08-21T04:17:00.000-07:002010-08-21T04:26:00.221-07:00นวัตกรรมการศึกษา<div>นวัตกรรม (Innovation)<br />หมายถึง การนำสิ่งใหม่ ๆ อาจเป็นแนวความคิด หรือ สิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆ<br />ที่ยังไม่เคยมีใช้มาก่อนหรือเป็นการพัฒนาดัดแปลงจากของเดิมที่มีอยู่แล้ว<br />ให้ทันสมัยและได้ผลดีมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงกว่าเดิม<br />ทั้งยังช่วยประหยัดเวลาและแรงงานได้ด้วย<br /> <br />นวัตกรรมทางการศึกษา (Educational Innovation)<br />หมายถึง การนำเอาสิ่งใหม่ซึ่งอาจจะอยู่ในรูปของความคิดหรือการกระทำ<br />รวมทั้งสิ่งประดิษฐ์ก็ตามเข้ามาใช้ในระบบการศึกษาเพื่อมุ่งหวังที่จะ<br />เปลี่ยนแปลงสิ่งที่มีอยู่เดิมให้ระบบการจัดการศึกษามีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น<br />ทำให้ผู้เรียนสามารถเกิดการเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วเกิดแรงจูงใจในการเรียน<br />และช่วยให้ประหยัดเวลาในการเรียน เช่น การสอนใช้คอมพิวเตอร์ช่วย<br />การใช้วีดิทัศน์เชิงโต้ตอบ(Interactive Video) สื่อหลายมิติ (Hypermedia)<br />และอินเตอร์เน็ต เหล่านี้เป็นต้น<br />นวัตกรรม แบ่งออกเป็น 3 ระยะ คือ<br />ระยะที่ 1 มีการประดิษฐ์คิดค้น (Innovation) หรือเป็นการปรุงแต่งของเก่า<br />ให้เหมาะสมกับกาลสมัย<br />ระยะที่ 2 พัฒนาการ (Development) มีการทดลองในแหล่งทดลองจัดทำ<br />อยู่ในลักษณะของโครงการทดลองปฏิบัติก่อน (Pilot Project)<br />ระยะที่ 3 การนำเอาไปปฏิบัติในสถานการณ์ทั่วไป ซึ่งจัดว่าเป็นนวัตกรรมขั้นสมบูรณ์<br />หลักเกณฑ์ประกอบการพิจารณาว่าสิ่งใดคือ นวัตกรรม<br />1. เป็นสิ่งใหม่ทั้งหมดหรือบางส่วน 2. มีการนำวิธีการจัดระบบ (System Approach) มาใช้พิจารณาองค์ประกอบ<br />ทั้งส่วนข้อมูลที่ใช้เข้าไปในกระบวนการและผลลัพธ์ให้เหมาะสมก่อที่จะทำการเปลี่ยนแปลง<br />3. มีการพิสูจน์ด้วยการวิจัยหรืออยู่ระหว่างการวิจัยว่าจะช่วยให้ดำเนินงานบางอย่าง<br />มีประสิทธิภาพสูงขึ้น<br />4. ยังไม่เป็นส่วนหนึ่งในระบบงานปัจจุบัน <br />ปัจจัยสำคัญที่มีอิทธิพลอันมีผลทำให้เกิดนวัตกรรม<br />1. แนวความคิดพื้นฐานในเรื่องความแตกต่างระหว่างบุคคล (Individual Different)<br />นวัตกรรมที่เกิดขึ้นเพื่อสนองแนวความคิดพื้นฐานนี้ เช่น<br /> - การเรียนแบบไม่แบ่งชั้น (Non-Graded School)<br /> - แบบเรียนสำเร็จรูป (Programmed Text Book) <br /> - เครื่องสอน (Teaching Machine)<br /> - การสอนเป็นคณะ (Team Teaching)<br /> - การจัดโรงเรียนในโรงเรียน (School within School)<br /> - เครื่องคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer Assisted Instruction)<br />2. แนวความคิดพื้นฐานในเรื่องความพร้อม (Readiness)<br />นวัตกรรมที่สนองแนวความคิดพื้นฐานด้านนี้ เช่น<br /> - ศูนย์การเรียน (Learning Center) <br /> - การจัดโรงเรียนในโรงเรียน (School within School) <br /> -การปรับปรุงการสอนสามชั้น (Instructional Development in 3 Phases)<br />3. แนวความคิดพื้นฐานในเรื่องการใช้เวลาเพื่อการศึกษานวัตกรรม<br />ที่สนองแนวความคิด เช่น<br /> - การจัดตารางสอนแบบยืดหยุ่น (Flexible Scheduling)<br /> - มหาวิทยาลัยเปิด (Open University)<br /> - แบบเรียนสำเร็จรูป (Programmed Text Book)<br /> - การเรียนทางไปรษณีย์<br />4. แนวความคิดพื้นฐานในเรื่องการขยายตัวทางวิชาการและ<br />อัตราการเพิ่มประชากรนวัตกรรมในด้านนี้ที่เกิดขึ้น เช่น<br /> - มหาวิทยาลัยเปิด<br /> - การเรียนทางวิทยุ การเรียนทางโทรทัศน์ <br /> - การเรียนทางไปรษณีย์ แบบเรียนสำเร็จรูป - ชุดการเรียน<br /> </div>NITTAYAhttp://www.blogger.com/profile/01834322377951326226noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6609860796933890127.post-3037095932244748302010-07-12T02:26:00.000-07:002010-08-21T04:26:00.226-07:00จุดเริ่มต้นของการศึกษา<div>การมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา : จุดเริ่มต้นการพัฒนาประเทศ<br /><br /> การพัฒนาประเทศเป็นหน้าที่ของทุกคนในประเทศที่จะต้องเข้าใจหน้าที่ และแสดงบทบาทให้ถูกต้องเหมาะสม กลไกการพัฒนาประเทศมีหลายด้านที่คอยขับเคลื่อนอยู่ตลอดเวลาไม่ว่าจะเป็นด้านการศึกษา ด้านการเมืองการปกครอง ด้านอุตสาหกรรม ด้านการค้าธุรกิจต่างๆ เป็นต้น สิ่งสำคัญที่เป็นพื้นฐานสำหรับการพัฒนาประเทศคือการพัฒนาด้านการศึกษา ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญที่สุด เพราะการศึกษาของคนในชาติเปรียบเสมือนเส้นเลือดที่คอยหล่อเลี้ยงในทุกๆ ด้าน<br /> การให้ความสำคัญในด้านการศึกษาถือเป็นความจำเป็นเร่งด่วนสำหรับทุกประเทศ สำหรับในประเทศที่พัฒนาแล้วล้วนแต่เป็นประเทศที่มีประชาชนได้รับการพัฒนาด้านการศึกษาที่ดีมาก่อนแล้วค่อยมุ่งพัฒนาในด้านอื่นๆ ต่อไป เหตุนี้เองทำให้ทุกภาคส่วนก็เริ่มมีความตระหนักให้ความสำคัญมากขึ้น และปรากฏภาพความชัดเจนขึ้นเมื่อพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 ได้บัญญัติสาระที่เกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของพ่อแม่ ผู้ปกครอง องค์กรหน่วยงานต่างๆ ในการมีส่วนร่วมจัดการศึกษา และพัฒนาด้านการศึกษา ไม่ว่าจะเป็นการให้สังคมได้มีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา ให้สถานศึกษามีการประสานความร่วมมือกับผู้ปกครอง ชุมชมทุกๆ ฝ่ายเพื่อร่วมกันพัฒนาผู้เรียนตามศักยภาพ ซึ่งสาระและหลักการดังกล่าวล้วนแล้วมีการระบุในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติทั้งสิ้น<br /> สถานศึกษากับชุมชนนั้นคงจะแยกออกจากกันเด็ดขาดไม่ได้ เพราะสถานศึกษาเปรียบเสมือนต้นไม้ ชุมชนเปรียบเหมือนพื้นดิน ยิ่งดินมีคุณภาพเพียงใดก็ย่อมทำให้ต้นไม้เติบโตได้เร็วแข็งแรง มีลำต้น กิ่งกาน ใบ และผลที่ดี มีอายุยืนยาว นอกจากนี้ต้นไม้ยังช่วยยึดดินให้ติดอยู่ด้วยกันไม่ถล่มไปง่ายๆ ส่วนชุมชนเปรียบเหมือนพื้นดินให้ประโยชน์กับต้นไม้ พื้นดินจะดีมีคุณภาพดังที่ได้กล่าวมาแล้วก็เพราะเมื่อต้นไม้เติบโตมากขึ้น ใบไม้ ดอกไม้ ผลไม้แก่จัดก็จะร่วงหล่นลงพื้นดินมันก็กลายเป็นปุ๋ยในดินให้ประโยชน์กับต้นไม้ต่อไปอีกเช่นกัน ฉะนั้นต้นไม้และพื้นดินต้องพึ่งพาอาศัยกันฉันใด ชุมชนกับสถานศึกษาก็ต้องพึ่งพาอาศัยกันฉันนั้น (สุดา ทัพสุวรรณ.2545 : 23) ดังนั้นการมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการศึกษานับเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนกลไกการพัฒนาประเทศอย่างแท้จริง</div>NITTAYAhttp://www.blogger.com/profile/01834322377951326226noreply@blogger.com0