วันเสาร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2553

E-sevices

ภายใต้นโยบายของรัฐบาล ที่เห็นความสำคัญในการนำเทคโนโลยีสารสนเทศ
และการสื่อสารมาประยุกต์ใช้จัดการ ระบบบริหารงานและระบบบริการ
ตลอดจนนำมาเป็นเครื่องมือช่วยพัฒนาประเทศ ดังจะเห็นได้จากวัตถุประสงค์
ในแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสารของประเทศไทย พ.ศ.2545-2549 ว่าด้วย
- การประยุกต์ใช้ ICT (Information and Communication Technology)

เพื่อเพิ่มขีดสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจ

- การประยุกต์ใช้ ICT เพื่อพัฒนาสังคมแห่งภูมิปัญญาและ

การเรียนรู้ที่สนองคุณภาพชีวิตได้โดยตรง

- การประยุกต์ใช้ ICT เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนโดยการกระจาย ICT

ที่มีคุณภาพครอบคลุมและเข้าถึงได้อย่างทั่วถึง และยุติธรรมยืนได้ด้วยตัวเอง

และความรู้ของคนในชาติ

- เพื่อพัฒนาธุรกิจและอุตสาหกรรมด้าน ICT อย่างเต็มศักยภาพ

สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.)
ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.)
จึงเห็นความสำคัญในการนำเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารนำมาประยุกต์ใช้
จัดการระบบบริหารงาน ระบบบริการ และเป็นเครื่องมือในการสนับสนุน
การสร้างสังคมคุณภาพและเป็นสังคมแห่งภูมิปัญญา และการเรียนรู้
ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งทำให้เราได้มารู้จักกับคำว่า E-Service
E-Services

คือการให้บริการข้อมูลและการทำธุรกรรมผ่านเครือข่ายออนไลน์ เช่น
การให้บริการงานการพิมพ์ การให้บริการจดหมายข่าวแก่สมาชิก
และการให้บริการชำระค่าบริการผ่านระบบเครือข่าย เป็นต้น
สำหรับยุทธศาสตร์ทางด้านการพัฒนา e-Service ของชาตินั้นได้ให้ความ
สำคัญใน 9 กลุ่มการให้บริการ คือ
-Online, registration of company and business
หรือการให้บริการจดทะเบียนธุรกิจนิติบุคคล ผ่านทางระบบเครือข่ายออนไลน์
-Counseling หรือการให้บริการคำแนะนำและที่ปรึกษา
-Emergency notification หรือการแจ้งเตือนในกรณีภาวะฉุกเฉิน
-Change management หรือการให้บริการด้านการบริหารจัดการเปลี่ยนแปลง
-Land info and land zoning หรือการให้บริการข้อมูลทางด้าน พื้นดินและการแบ่งเขตพื้นที่
-E-Justice หรือการให้บริการเกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรม ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์
-Electronic social welfare benefits management & citizen rights info
หรือการให้บริการข้อมูลประชาชน ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ในด้านสิทธิ
และการบริหารจัดการเกี่ยวกับด้านงานสวัสดิการและงานประกันสังคม
-Electronic birth, employee, marriage, divorce, death registration
หรือการทำธุรกรรมเกี่ยวกับทะเบียนราษฎร์ เช่น การแจ้งเกิด การจ้างงาน
การแต่งงาน การหย่า และการเสียชีวิต
-Government and utilities billing and payment คือการให้บริการ
ใบเสร็จและการจ่ายเงินของ ภาครัฐและการบริการสาธารณะ

จะเห็นได้ว่า “อี” นั้นมาจาก e ซึ่งย่อมาจาก electronic ดังนั้นเดี๋ยวนี้หากนำเอา
เทคโนโลยีสารสนเทศมาประยุกต์ใช้กับสื่อใดมีการ จัดทำในรูปแบบสื่ออิเล็กทรอนิกส์
และมีการให้บริการผ่านระบบเครือข่าย หรือให้บริการบนเครื่องคอมพิวเตอร์โดย
ที่ไม่เชื่อมต่อกับระบบเครือข่าย ก็จะ ถือว่าสิ่งนั้นเป็นอิเล็กทรอนิกส์และ
จะมีการเพิ่ม “อี” ไว้หน้าชื่อนั่นเอง

ตัวอย่างนวัตกรรม

Best Practice โรงเรียนปทุมรัตต์พิทยาคม
กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์
การใช้ ICT ในการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิด Backward Design



แผนผัง แสดงการจัดการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์


วัตถุประสงค์ในการพัฒนานวัตกรรม
จากการศึกษาสภาพปัจจุบันปัญหาในการจัดการเรียนการสอนวิชาคณิตศาสตร์
ของโรงเรียนปทุมรัตต์พิทยาคม คณะครูกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์จึงได้
จัดทำโครงการเพื่อรองรับการกระจายอำนาจ พัฒนาการเปลี่ยนแปลง
การเรียนการสอนคณิตศาสตร์โดยใช้ ICT ในการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิด
Backward Design
การดำเนินงานใช้หลักการบริหารวงจรแห่งความสำเร็จ (PDCA)
1. การประชุมวางแผนการปฏิบัติงาน
2. จัดตั้งคณะทำงาน
2.1 คณะกรรมการประสานงาน
2.2 คณะกรรมการดำเนินงาน ด้าน Backward Design
2.3 คณะกรรมการดำเนินงาน ด้าน โปรแกรมการเรียนการสอนคณิตศาสตร์
2.4 คณะกรรมการประเมินผลการดำเนินงาน
3. ประชุมชี้แจงทำความเข้าใจกับบุคลากรในกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์
4. ดำเนินงานตามแผนและปฏิบัติที่กำหนด
5. นิเทศ กำกับ ติดตาม การดำเนินงาน
6. สรุปและรายงานผลการดำเนินงาน
กระบวนการพัฒนา
โครงการพัฒนาการเรียนการสอนคณิตศาสตร์โดยใช้ ICT ในการจัดการเรียนรู้
ตามแนวคิด Backward Design
1. การฝึกอบรมการเขียนแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้ กระบวนการ Backward Design

2. การฝึกอบรม การใช้ e-Learning , GSP และการสร้าง Website
3. การจัดการเรียนรู้ของครูกลุ่มสาระคณิตศาสตร์ ตามแผนการจัดการเรียนรู้
4. ประเมินและติดตามการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ (ครู นักเรียน)

ลักษณะของนวัตกรรม
ลักษณะของนวัตกรรม กระบวนการ Backward Design
การพัฒนาการจัดการเรียนการสอนของครูขึ้นอยู่กับการเรียนรู้ของครูและ

การพัฒนาตนเองให้มีความสามารถและมีคุณลักษณะของครูมืออาชีพ

การเรียนรู้และการทำงานของครูต้องไม่แยกจากกัน ครูควรมีโอกาสเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง

การเรียนรู้ของครูเกิดจากการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์กับเพื่อนครู

ผู้เชี่ยวชาญ ศึกษานิเทศก์ แล้วนำความรู้เหล่านนั้นไปประยุกต์ใช้

ในการจัดการเรียนการสอนของตน การไตร่ตรอง ทบทวน พัฒนา ปรับปรุง

เกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนของครู ทำให้เกิดความเข้าใจผลของการลงมือปฏิบัติ

แล้วนำผลการปฏิบัตินั้นแลกเปลี่ยนเรียนรู้และ เผยแพร่ต่อผู้อื่น
การนำแนวทางการพัฒนาของครูจะช่วยให้การขับเคลื่อนการปฏิรูปการเรียนรู้ในโรงเรียน

เกิดผลโดยตรงต่อการจัดการเรียนการสอนและการพัฒนานักเรียน ให้มีคุณลักษณะ

เป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ สามารถคิดวิเคราะห์ คิดสังเคราะห์ มีวิจารณญาณ

มีความคิดสร้างสรรค์ คิดไตร่ตรองและมีวิสัยทัศน์ มีความรู้และทักษะที่จำเป็นตามหลักสูตร
ที่มาของ Backward Design
ปัญหาจากการสอบแบบ multiple Choices : teach test and hope for the best!

สอนเพื่อให้ผู้เรียนจำ ไม่ใช้เข้าใจ l การวัดประเมินผล มุ่งวัดประเมินว่า
ผู้เรียนจำอะไรได้บ้างจากสิ่งที่ครูบอก เล่า ให้ฟัง หรือ อ่านมา ไม่สอดคล้องกับชีวิตจริง
การสอนของครูสอนแบบอ้างถึงความรู้ teaching by mention ผู้เรียนไม่ได้ลงมือปฏิบัติ

หลักการของ Backward Design
กระบวนการออกแบบถอยหลังกลับ (Backward Design)

ของ Wiggins และ McTighe เริ่มจากคิดทุกอย่างให้จบสิ้นสุดจากนั้น
จึงเริ่มต้นจากปลายทางที่ผลผลิตที่ต้องการ (เป้าหมายหรือมาตรฐานการเรียนรู้)
สิ่งนี้ได้มาจากหลักสูตร เป็นหลักฐานพยานแห่งการเรียนรู้ ( Performances)

ซึ่งเรียกว่า มาตรฐานการเรียนรู้ แล้วจึงวางแผนการเรียนการสอน
ในสิ่งที่จำเป็นให้กับนักเรียนเพื่อเป็นเครื่องมือที่นำไปสู่
การสร้างผลงานหลักฐานแห่งการเรียนรู้นั้นได้
1. หลักการของ Backward Design
กระบวนการออกแบบแบบถอยหลังกลับ (Backward Design)

ของ Wiggins และMcTighc เริ่มจากคิดทุกอย่างให้จบสิ้นสุดจากนั้น
จึงเริ่มต้นจากปลายทางที่ผลผลิตที่ต้องการ (เป้าหมายหรือมาตรฐานการเรียนรู้)
สิ่งนี้ได้มาจากหลักสูตร เป็นหลักฐานพยานแห่งการเรียนรู้ (Performances)
ซึ่งเรียกว่า มาตรฐานการเรียนรู้ แล้วจึงวางแผนการเรียนการสอน
ในสิ่งที่จำเป็นให้กับนักเรียนเพื่อเป็นเครื่องมือที่นำไปสู่
การสร้างผลงานหลักฐานแห่งการเรียนรู้นั้นได้
กระบวนการออกแบบการวางแผนของครูผู้สอนเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กัน

อย่างต่อเนื่องกัน 3 ขั้นตอน แต่ละขั้นตอนประกอบด้วยคำถามที่ว่า
ขั้นตอน 1 : อะไรคือความเข้าใจที่ต้องการและมีคุณค่า
ขั้นตอน 2 : อะไรคือพยานหลักฐานของความเข้าใจ
ขั้นตอน 3 : ประสบการณ์การเรียนรู้และการสอนอะไรที่จะสนับสนุน
ทำให้เกิดความเข้าใจ ความสนใจ และความยอดเยี่ยมในหลักฐานนั้นๆ …
ขั้นตอนที่ 1 : อะไรคือความเข้าใจที่ต้องการและมีคุณค่า
การใช้หลักการออกแบบแบบถอยหลังกลับ อันดับแรกครูผู้สอนควรทำคือ
การให้ความสำคัญที่เป้าหมายการเรียนรู้ (Learning goals)
หรือเป้าหมายของความเข้าใจ ความเข้าใจที่ว่านี้คือ ความเข้าใจที่ฝังใจอย่างยั่งยืน
(Enduring Understanding) ที่ครูผู้สอนทุกคนต้องการให้นักเรียนของพวกเขา
ได้รับการพัฒนาไปให้ถึงจุดหมายปลายทางตามลำดับขั้นการเรียนรู้บรรลุผล
ที่สำเร็จสมบูรณ์ที่สุด สิ่งนี้ก็เป็นจุดเน้นสำคัญที่จะขาดเสียมิได้รวมทั้งแนวทางดำเนินการ
ชุดคำถามที่สำคัญด้วยเช่นกัน ความเข้าใจที่ฝังใจอย่างยั่งยืนมีระดับที่
เหนือกว่าสูงกว่าข้อเท็จจริงต่าง ๆ และทักษะต่างๆ ที่มุ่งไปสู่ความคิดรวบยอดใหญ่ ๆ
หลักการต่าง ๆ หรือกระบวนการต่าง ๆ
ความเข้าใจที่ได้คัดเลือกไว้บางทีอาจเป็นความเข้าใจที่สำคัญมากๆ
หรือความเข้าใจในระดับหน่วยการเรียนรู้ ลำดับขั้นตอนความเข้าใจ
(สิ่งเหล่านี้ พวกเราหวังว่าจะเป็นตัวช่วยให้บรรลุผลความเข้าใจในแต่ละระดับ
ตลอดระยะเวลาในลำดับขั้นตอนของการเรียนรู้) ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น
ขั้นตอนที่ 2 : อะไรคือหลักฐานพยานของความเข้าใจ
ครูผู้สอนต้องตัดสินใจต่อไปว่า ความเข้าใจเหล่านี้ นักเรียนจะนำเสนอ

หรือสาธิต แสดงออกให้เห็นได้อย่างไรว่านักเรียนได้เกิดความรู้ความเข้าใจอย่างแท้จริง
Wiggins and Mctighe ได้ให้รายละเอียดของความเข้าใจ 6 ประการ
(Six facets of understanding) โดยเชื่อว่านักเรียนจะมีความเข้าใจอย่างแท้จริง
เมื่อนักเรียนสามารถ
Ÿ อธิบายชี้แจงเหตุผล (can explain)
Ÿ แปลความตีความ (can interpret)
Ÿ ประยุกต์ (can apply)
Ÿ มีเทคนิคการเขียนภาพที่เห็นด้วยตาจริง (have perspective)

Ÿ สามารถหยั่งรู้มีความรู้สึกร่วม (can empathize)
Ÿ มีองค์ความรู้เป็นของตนเอง (have self – knowledge)

ทั้ง 6 ด้านของความเข้าใจสามารถช่วยสนับสนุน ให้เกิดความเข้าใจ

ตามธรรมชาติของความเข้าใจและมีหนทางหลากหลาย ซึ่งจะกล่าวถึงต่อไป

เกี่ยวกับความเข้าใจ เพื่อความสมเหตุสมผลกับรูปแบบการเรียนรู้(Learning styles)

นักเรียนจะนิยมชมชอบบางข้อเท็จจริง
ในส่วนของกระบวนการวางแผนนี้ อะไรที่ทำให้ “backward design”

แตกต่างจากกระบวนการวางแผนที่เคยปฏิบัติเป็นประเพณีมาตั้งแต่ดั้งเดิม
ก่อนการวางแผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้เพื่อพัฒนาความเข้าใจต่างๆ

คณะครูผู้สอนมีความจำเป็นต้องวางแผนเพื่อกำหนดแนวทางการประเมินผลขึ้นก่อน
ในขณะ เดียวกันก็เน้นถึงความสำคัญให้เกิดความชัดเจน
ในการพัฒนาผลงาน/ภาระงานความสามารถ (Performance tasks)

ด้วย Wiggins and Mctighe สนับสนุนความพอเหมาะที่ได้สัดส่วน
ของการประเมินผล ซึ่งเป็นการใช้การประเมินผลที่มากกว่าแบบดั้งเดิม
อันประกอบด้วย การสังเกต การสอบย่อย การใช้แบบสอบประเภทต่าง ๆ
การกำหนดแนวทางเพื่อใช้คัดเลือกขอบเขตของ การประเมินผล

ผลงาน/ภาระงานต่างๆ และการแสดงความสามารถต่างๆ ต้อง

Ÿ สนับสนุน ช่วยเหลือให้นักเรียนได้มีการพัฒนาความเข้าใจ (Developing understand)

Ÿ ให้โอกาสกับนักเรียนได้นำเสนอ อธิบายถึงความสามารถในความเข้าใจ

ผลงาน/ภาระงาน (tasks) ต้องมีการจำแนกแยกแยะ
และระดับของความแตกต่างหรือชั้นของความเข้าใจอีกด้วย
ขอเน้นถึงความสำคัญ การประเมินผลเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้
และควรจะมีอยู่ (มีการประเมินผลอยู่ตลอด) ตั้งแต่ต้นจนจบของลำดับขั้นตอน

มิใช่นำมาใช้เมื่อจบหน่วยหรือจบรายวิชาเท่านั้น
ขั้นตอนที่ 3 : อะไรคือประสบการณ์การเรียนรู้และจะสอนอย่างไร
ในขั้นตอนที่ 3 ของกระบวนการ backward design
ครูผู้สอนออกแบบในลำดับขั้นตอนคิดกิจกรรมประสบการณ์การเรียนรู้
เพื่อให้นักเรียนรับผิดชอบดำเนินการในกิจกรรมต่างๆ
เพื่อเป็นการพัฒนาความเข้าใจ (develop understanding)
การเรียนรู้ที่เกิดขึ้นกับผู้เรียนจะมีระดับที่เหนือกว่ามากกว่าการจำได้
ในเนื้อหาวิชาที่เรียน นักเรียนต้องได้รับการจัดกิจกรรมตามแผนการเรียนรู้

ที่เป็นไปได้สำหรับนักเรียนผู้ที่สืบค้น (Inquiries) ประสบการณ์โดยตรง
กระบวนการให้เหตุผล (Arguments) การประยุกต์นำไปใช้
และจุดของภาพที่ซ้อนเร้นอยู่ข้างล่างของข้อเท็จจริง และข้อคิดเห็นต่างๆ
ที่พวกเขาเรียนรู้ ถ้าพวกเขามีความเข้าใจในสิ่งนั้น ๆ
ประสบการณ์แห่งการเรียนรู้ ต้องการให้ผู้เรียน :

Ÿ สร้างทฤษฎี อธิบายชี้แจง แปลความ ตีความ,

ใช้หรือมองเห็นด้วยจินตทัศน์ (perspective) ในสิ่งที่พวกเขาต้องการเรียนรู้
ซึ่งพวกเขาก็ไม่จำเป็นว่าจะต้อง มีความเข้าใจที่เหมือนๆ กัน หรือมีความสามารถ
ในความเข้าใจในสิ่งเหล่านี้ซึ่งเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามากกว่าที่จะจดจำ
ประสบการณ์ต่างๆ เหล่านี้ ต้องผสมกลมกลืนทั้งในแนวกว้างและแนวลึก
และจะต้องเป็นทางเลือกที่ต้องการและได้รับการยอมรับ ประสบการณ์เหล่านี้ที่
จะถูกนำไปดำเนินการในเชิงลึกซึ่งต้องการให้นักเรียนเจาะลึก (unearth)

วิเคราะห์แยกแยะ ตั้งคำถาม พิสูจน์และวางหลักเกณฑ์ทั่ว ๆ ไป
การที่ให้ประสบการณ์มีลักษณะกว้างเพื่อต้องการให้นักเรียนทำการเชื่อมโยง
มองเห็นภาพ (ตัวแทนหรือรูปจำลอง) และขยายความคิดให้กว้างแผ่ออกไป
สิ่งที่สำคัญก็คือความชัดเจนในวิธีการที่อิงแนวทางแสวงหาความรู้
(Inquiry – Based Approach) ที่ต้องการ “ไม่จำกัดขอบเขต (uncovering)” ในการเลือกเนื้อหา
2. การทบทวนและขัดเกลา (Review and Refine)

ดูเหมือนว่าในแบบจำลองของการวางแผนทั้งหมดของ “Backward Design”

ต้องการกระบวนการปรับปรุงแก้ไขและสิ่งที่ได้รับการปรับปรุงแก้ไขขัดเกลาแล้ว
ในทุกขั้นตอนในกระบวนการของการวางแผน
“ การคิดสร้างสรรค์ของการใช้หน่วยการเรียนรู้ของกระบวนการวางแผนด้วย
Backward Design มิใช่สิ่งอัศจรรย์ยิ่งใหญ่ สบายหรือกระบวนการง่าย ๆ
มันคือสิ่งหนึ่งที่หยิบยกขึ้นมาพิจารณากันใหม่ คุณจะต้องกลับไปและ
ผ่าให้ทะลุเข้าในแผนผังหลักสูตร ทำการปรับปรุงกระบวนการและขัดเกลาตลอดเวลา
เมื่อคุณผนวกบางสิ่งบางอย่างลงไปในส่วนของการวางแผนของคุณ”
Backward Design และการเรียนรู้ในสิ่งที่สำคัญๆ กรอบแนวความคิดนี้
มีประโยชน์ต่อการใช้สอย เมื่อแบบจำลอง backward design ถูกนำไปใช้
เป็นกรอบแนวความคิดเชื่อมโยงกันทั้ง 3 ขั้นตอนของแบบจำลอง (model)
เกี่ยวข้องกับกรอบแนวความคิดการเรียนรู้ที่สำคัญและเอกสารด้านอื่น ๆ ที่มีประโยชน์
3. เป้าหมายของหน่วย (Module)
นำเสนอความเข้าใจเชิงลึกในมาตรฐานการเรียนรู้และวิธีการศึกษา

ที่อิงมาตรฐาน ความคิดตลอดแนวของการวางแผนหลักสูตร
การพัฒนาการประเมินผลย่อยและประเมินผลรวบยอด

(formative and summative assessments) และการออกแบบ
การเรียนการสอนที่เข้าคู่กับมาตรฐาน การปฏิบัติการที่ดีที่สุดอิงการวิจัย
(research – based practices) สิ่งนี้จะได้รับการวัดผลจาก
การแสดงความสามารถของนักเรียนในการเฝ้าสังเกตความสามารถของนักเรียน
การเฝ้าสังเกตความก้าวหน้าและการใช้แบบสอบมาตรฐานอิงเกณฑ์
(Standardized criterion – referenced tests)
คำสำคัญจากเป้าหมาย
Ÿ ความเข้าใจเชิงลึก
Ÿ มาตรฐานการเรียนรู้
Ÿ การศึกษาอิงมาตรฐาน
Ÿ การปฏิบัติการที่ดีที่สุดอิงการวิจัย
หมายเหตุ ที่ว่าเป้าหมายนี้จะไม่บรรลุผลภายในหนึ่งวัน

ควรจะนำไปที่การเตรียมการและภายใน 8 วัน แห่งการจัดการเรียนการสอน

ในชั้นเรียน เป้าหมายนี้ ก็จะบรรลุผล หลายวันแห่งการฝึก (training)
จะจัดสรรองค์ประกอบที่แตกต่างกันของเป้าหมาย,อย่างเช่น การวางแผนหลักสูตร
การประเมินผลและการเรียนการสอน

นวัตกรรมการศึกษา

นวัตกรรม (Innovation)
หมายถึง การนำสิ่งใหม่ ๆ อาจเป็นแนวความคิด หรือ สิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆ
ที่ยังไม่เคยมีใช้มาก่อนหรือเป็นการพัฒนาดัดแปลงจากของเดิมที่มีอยู่แล้ว
ให้ทันสมัยและได้ผลดีมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงกว่าเดิม
ทั้งยังช่วยประหยัดเวลาและแรงงานได้ด้วย

นวัตกรรมทางการศึกษา (Educational Innovation)
หมายถึง การนำเอาสิ่งใหม่ซึ่งอาจจะอยู่ในรูปของความคิดหรือการกระทำ
รวมทั้งสิ่งประดิษฐ์ก็ตามเข้ามาใช้ในระบบการศึกษาเพื่อมุ่งหวังที่จะ
เปลี่ยนแปลงสิ่งที่มีอยู่เดิมให้ระบบการจัดการศึกษามีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ทำให้ผู้เรียนสามารถเกิดการเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วเกิดแรงจูงใจในการเรียน
และช่วยให้ประหยัดเวลาในการเรียน เช่น การสอนใช้คอมพิวเตอร์ช่วย
การใช้วีดิทัศน์เชิงโต้ตอบ(Interactive Video) สื่อหลายมิติ (Hypermedia)
และอินเตอร์เน็ต เหล่านี้เป็นต้น
นวัตกรรม แบ่งออกเป็น 3 ระยะ คือ
ระยะที่ 1 มีการประดิษฐ์คิดค้น (Innovation) หรือเป็นการปรุงแต่งของเก่า
ให้เหมาะสมกับกาลสมัย
ระยะที่ 2 พัฒนาการ (Development) มีการทดลองในแหล่งทดลองจัดทำ
อยู่ในลักษณะของโครงการทดลองปฏิบัติก่อน (Pilot Project)
ระยะที่ 3 การนำเอาไปปฏิบัติในสถานการณ์ทั่วไป ซึ่งจัดว่าเป็นนวัตกรรมขั้นสมบูรณ์
หลักเกณฑ์ประกอบการพิจารณาว่าสิ่งใดคือ นวัตกรรม
1. เป็นสิ่งใหม่ทั้งหมดหรือบางส่วน 2. มีการนำวิธีการจัดระบบ (System Approach) มาใช้พิจารณาองค์ประกอบ
ทั้งส่วนข้อมูลที่ใช้เข้าไปในกระบวนการและผลลัพธ์ให้เหมาะสมก่อที่จะทำการเปลี่ยนแปลง
3. มีการพิสูจน์ด้วยการวิจัยหรืออยู่ระหว่างการวิจัยว่าจะช่วยให้ดำเนินงานบางอย่าง
มีประสิทธิภาพสูงขึ้น
4. ยังไม่เป็นส่วนหนึ่งในระบบงานปัจจุบัน
ปัจจัยสำคัญที่มีอิทธิพลอันมีผลทำให้เกิดนวัตกรรม
1. แนวความคิดพื้นฐานในเรื่องความแตกต่างระหว่างบุคคล (Individual Different)
นวัตกรรมที่เกิดขึ้นเพื่อสนองแนวความคิดพื้นฐานนี้ เช่น
- การเรียนแบบไม่แบ่งชั้น (Non-Graded School)
- แบบเรียนสำเร็จรูป (Programmed Text Book)
- เครื่องสอน (Teaching Machine)
- การสอนเป็นคณะ (Team Teaching)
- การจัดโรงเรียนในโรงเรียน (School within School)
- เครื่องคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer Assisted Instruction)
2. แนวความคิดพื้นฐานในเรื่องความพร้อม (Readiness)
นวัตกรรมที่สนองแนวความคิดพื้นฐานด้านนี้ เช่น
- ศูนย์การเรียน (Learning Center)
- การจัดโรงเรียนในโรงเรียน (School within School)
-การปรับปรุงการสอนสามชั้น (Instructional Development in 3 Phases)
3. แนวความคิดพื้นฐานในเรื่องการใช้เวลาเพื่อการศึกษานวัตกรรม
ที่สนองแนวความคิด เช่น
- การจัดตารางสอนแบบยืดหยุ่น (Flexible Scheduling)
- มหาวิทยาลัยเปิด (Open University)
- แบบเรียนสำเร็จรูป (Programmed Text Book)
- การเรียนทางไปรษณีย์
4. แนวความคิดพื้นฐานในเรื่องการขยายตัวทางวิชาการและ
อัตราการเพิ่มประชากรนวัตกรรมในด้านนี้ที่เกิดขึ้น เช่น
- มหาวิทยาลัยเปิด
- การเรียนทางวิทยุ การเรียนทางโทรทัศน์
- การเรียนทางไปรษณีย์ แบบเรียนสำเร็จรูป - ชุดการเรียน

วันจันทร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

จุดเริ่มต้นของการศึกษา

การมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา : จุดเริ่มต้นการพัฒนาประเทศ

การพัฒนาประเทศเป็นหน้าที่ของทุกคนในประเทศที่จะต้องเข้าใจหน้าที่ และแสดงบทบาทให้ถูกต้องเหมาะสม กลไกการพัฒนาประเทศมีหลายด้านที่คอยขับเคลื่อนอยู่ตลอดเวลาไม่ว่าจะเป็นด้านการศึกษา ด้านการเมืองการปกครอง ด้านอุตสาหกรรม ด้านการค้าธุรกิจต่างๆ เป็นต้น สิ่งสำคัญที่เป็นพื้นฐานสำหรับการพัฒนาประเทศคือการพัฒนาด้านการศึกษา ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญที่สุด เพราะการศึกษาของคนในชาติเปรียบเสมือนเส้นเลือดที่คอยหล่อเลี้ยงในทุกๆ ด้าน
การให้ความสำคัญในด้านการศึกษาถือเป็นความจำเป็นเร่งด่วนสำหรับทุกประเทศ สำหรับในประเทศที่พัฒนาแล้วล้วนแต่เป็นประเทศที่มีประชาชนได้รับการพัฒนาด้านการศึกษาที่ดีมาก่อนแล้วค่อยมุ่งพัฒนาในด้านอื่นๆ ต่อไป เหตุนี้เองทำให้ทุกภาคส่วนก็เริ่มมีความตระหนักให้ความสำคัญมากขึ้น และปรากฏภาพความชัดเจนขึ้นเมื่อพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 ได้บัญญัติสาระที่เกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของพ่อแม่ ผู้ปกครอง องค์กรหน่วยงานต่างๆ ในการมีส่วนร่วมจัดการศึกษา และพัฒนาด้านการศึกษา ไม่ว่าจะเป็นการให้สังคมได้มีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา ให้สถานศึกษามีการประสานความร่วมมือกับผู้ปกครอง ชุมชมทุกๆ ฝ่ายเพื่อร่วมกันพัฒนาผู้เรียนตามศักยภาพ ซึ่งสาระและหลักการดังกล่าวล้วนแล้วมีการระบุในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติทั้งสิ้น
สถานศึกษากับชุมชนนั้นคงจะแยกออกจากกันเด็ดขาดไม่ได้ เพราะสถานศึกษาเปรียบเสมือนต้นไม้ ชุมชนเปรียบเหมือนพื้นดิน ยิ่งดินมีคุณภาพเพียงใดก็ย่อมทำให้ต้นไม้เติบโตได้เร็วแข็งแรง มีลำต้น กิ่งกาน ใบ และผลที่ดี มีอายุยืนยาว นอกจากนี้ต้นไม้ยังช่วยยึดดินให้ติดอยู่ด้วยกันไม่ถล่มไปง่ายๆ ส่วนชุมชนเปรียบเหมือนพื้นดินให้ประโยชน์กับต้นไม้ พื้นดินจะดีมีคุณภาพดังที่ได้กล่าวมาแล้วก็เพราะเมื่อต้นไม้เติบโตมากขึ้น ใบไม้ ดอกไม้ ผลไม้แก่จัดก็จะร่วงหล่นลงพื้นดินมันก็กลายเป็นปุ๋ยในดินให้ประโยชน์กับต้นไม้ต่อไปอีกเช่นกัน ฉะนั้นต้นไม้และพื้นดินต้องพึ่งพาอาศัยกันฉันใด ชุมชนกับสถานศึกษาก็ต้องพึ่งพาอาศัยกันฉันนั้น (สุดา ทัพสุวรรณ.2545 : 23) ดังนั้นการมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการศึกษานับเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนกลไกการพัฒนาประเทศอย่างแท้จริง